9/24/2010
9/22/2010
ประเภทของยารักษาเนื้อไม้
ในปัจจุบันนี้มีผลิตภัณฑ์รักษาเนื้อไม้ออกมามากมาย เราจึงควรทราบคุณสมบัติต่างๆ ของยารักษาเนื้อไม้ เช่นสามารถซึมเข้าไปในเนื้อไม่ได้ดี และติดอยู่ที่เนื้อไม้ได้นาน รวมถึงมีประสิทธิภาพสูงในการทำลายศัตรูในเนื้อไม้และไม่ควรทำให้เกิดอันตราย ต่อผู้ใช้ และทำความเสียหายแก่เนื้อไม้ได้
โดยยารักษาเนื้อไม้ก็สามารถแบ่งตามประเภทได้ดังนี้ ประเภทน้ำมัน ประเภทเกลือเคมีละลายในน้ำ และประเภทเกลือเคมีละลายในสารอื่น
ยารักษาเนื้อไม้ประเภทน้ำมัน มีประสิทธิภาพทำลายศัตรูเนื้อไม้สูง และติดอยู่ในเนื้อไม้ได้ดี แต่มีกลิ่นฉุน และไม่สามารถทาสีทับได้ จึงไม่ควรใช้กับไม้ที่ใช้สำหรับก่อสร้างที่พักอาศัย ส่วนมากจะใช้กับไม้ที่ใช้งานกลางแจ้ง เช่น เสาไฟต่างๆ สะพาน หรือรั้ว
ยารักษาเนื้อไม้ประเภทเกลือเคมีละลายในน้ำ
ยารักษาเนื้อไม้ประเภทนี้มีข้อดีตรงที่ง่ายต่อการขนส่งและการเก็บรักษา เพราะสามารถขนส่งในรูปของแข็ง แล้วค่อยนำไปเจือจางเมื่อต้องการใช้งานได้ ไม้ที่ผ่านการอาบน้ำยาประเภทนี้สามารถทาสีได้ และเป็นสารเคมีที่ไม่มีกลิ่น แต่ก็มีข้อเสียคือ เนื่องจากใช้น้ำเป็นตัวทำละลาย จึงอาจทำให้ไม้เกิดการขยายตัวขึ้นได้ เมื่อใช้น้ำยาประเภทนี้แล้ว จึงจำเป็นต้องทำให้ไม้แห้งอีกครั้ง
ยารักษาเนื้อไม้ประเภทเกลือเคมีละลายในสารอื่น
ยารักษาเนื้อไม้ประเภทนี้ จะประกอบด้วยสารเคมีหนึ่งชนิด หรือมากกว่านั้น ละลายอยู่ในสารละลาย ประเภทต่างๆ เช่น Trubutyltinoxide, Metallic Napthenates ข้อดีของยารักษาเนื้อไม้ประเภท นี้คือ น้ำจะไม่เกิดการหดหรือขยายตัว เพราะไม่มีน้ำเป็นส่วนประกอบของน้ำยาสามารถแทรกซึมเข้าไปในเนื้อไม้ได้ดี และสามารถทาสีทับได้เมื่อน้ำยาระเหยไปหมดแล้ว แต่ก็มีข้อเสียเล็กน้อยคือ มีราคาแรง และตัวยาเป็นวัสดุติดไฟง่าย จึงควรให้น้ำยาระเหยไปหมดก่อน จึงนำไปใช้งาน
แหล่งข้อมูล http://www.thaiwoodcentral.com/blog/page/2
ภาพประกอบ http://www.homedug.com/wp-content/uploads/2010/02/Staind-the-wood.jpg
ไม้กับความชื้น
โดยทั่วไป ไม้ที่จะนำมาทำเป็นวัสดุก่อสร้างที่พักอาศัย จะได้รับการอบเพื่อไล่ความชื้นในเนื้อไม้ให้เหมาะสม
แต่เมื่อถูกนำไปใช้งาน ความชื้นในเนื้อไม้ก็จะเพิ่มขึ้น ทำให้ไม้เกิดการขยายตัว ก่อให้เกิดปัญหาหน้าต่างเปิด-ปิดไม่ค่อยออก
หรือประตูปิดได้ไม่สนิท ดังนั้นผู้ใช้จึงควรคุมความชื้นในเนื้อไม้ ไม่ให้เปลี่ยนแปลงมากเกินไป
ถ้าเป็นการใช้งานในลักษณะวัสดุปูพื้น เมื่อเทคอนกรีตเสร็จแล้ว ควรทิ้งพื้นคอนกรีตไว้ให้แห้งดี
เพื่อไม่ให้ความชื้นจากพื้นคอนกรีต มีผลกระทบกับพื้นไม้ หรือเราอาจจะเพิ่มวัสุดป้องกันความชื้นระหว่างตัวไม้และพื้นคอนกรีตก็ได้
และไม่ควรนำวัสดุไม้ไปใช้งานในลักษณะผิดประเภท เช่น นำไม้ไปใช้สำหรับปูพื้นระเบียง หรือพื้นที่กลางแจ้งนอกบ้าน
โดยไม่มีการทา wood oil หรือผลิตภัณฑ์ป้องกันความชื้นในเนื้อไม้การใช้งาน
ขอบคุณข้อมูลจาก http://www.thaiwoodcentral.com/blog/
การบำรุงรักษาศาลาไม้
เนื่องจากมีความสวยงามโดดเด่น และบางแบบยังดูภูมิฐานอีกด้วย
แต่ผู้ใช้บางส่วนกลับขาดการบำรุงรักษาศาลาไม้ที่ถูกต้องนัก ทำให้ศาลาไม้หมดสภาพการใช้งานก่อนเวลาอันควร
เพื่อให้ศาลาไม้คงความสวยงามได้ยาวนอน เราจึงควรพยายามรักษาเนื้อไม้
ให้ปราศจากปลวก เชื้อรา และหลีกเลี่ยงความชื้นให้มากที่สุด โดย..
ไม่ควรใช้เครื่อฉีดน้ำอัตโนมัติ ใกล้ๆ ศาลา และไม่ควรปลูกต้นไม้ใกล้ๆ ศาลาด้วย
เพราะอาจจะทำให้ศาลาเปียกชื้นได้เมื่อมีการรดน้ำ
ไม่ควรวางศาลากับพื้นดินโดยตรง เพราะปลวกสามารถเข้ามากัดกินเนื้อไม้ได้โดยตรง
นอกจากนั้นต้องระวังความชื้น และเชื้อราจากในดินเช่นกัน
และควรสำรวจพื้นที่รอบศาลาเป็นประจำ ว่ามีทางเดินปลวกรอบๆ โคนเสาบ้างรึเปล่า
และเพื่อความสวยงามของศาลาไม้ เราจึงควรทาสีย้อมไม้อย่างม่ำเสมอ เพราะศาลาที่ตั้งอยู่กลางแจ้ง
อาจโดนสภาพอากาศทำลายได้ ทั้งแสงแดด และฝน เป็นตัวทำลายความสวยงามของศาลาไม้ให้ดูเก่าลงก่อนเวลา
โดยควรเลือกใช้สีทาภายนอก และเป็นสีที่ใช้ทาไม้โดยเฉพาะเท่านั้น
อย่างไรก็ตามหากท่านไม่มีเวลาในการดูแลรักษา ท่านก็ควรพิจารณาไม้สักเพราะท่านจสามารถลดปัญหาเรื่องปลวกมอดรบกวนไปได้สูงเลยทีเดียว
ขอขอบคุณข้อมูลจาก http://www.thaiwoodcentral.com/blog/
และภาพจาก http://www.siam-shop.com
การกำจัดปลวกด้วยเชื้อรา
โดยการเลือกใช้เชื้อราเขียว หรือ Metarrhizium ซึ่งเพาะเลี้ยงได้บนเมล็ดข้าวนึ่ง นำมาใส่ถุงกระดาษ
หรือกระบอกไม้ไผ่แล้วนึกไปฝังบริเวณรอบๆ บ้าน โดยฝังให้ลึกประมาณ20-30 เซนติเมตร แล้วใช้ดินกลบอย่างหลวมๆ
ปลวกจะออกมากินถุงกระดาษ หรือกระบอกไม้ไผ่ที่เราฝังไว้ แล้วก็จะติดเชื้อราไปด้วย
เมื่อปลวกเข้าสู่รัง ก็จะทำให้ปลวกตัวอื่นๆ ติดเชื้อราตามไป
โดยระยะแรกอาจจะต้องใช้เวลาเล็กน้อย เนื่องจากต้องรอให้เชื้อราเจริญเติบโตภายในรังปลวกซะก่อน
แต่เมื่อเชื้อราเติบโตภายในรังแล้ว จะสามารถทำลายปลวกให้ตายหมดทั้งรังได้
การกำจัดปลวกด้วยวิธีนี้ ควรทำซ้ำในระยะเวลาสองถึงสามสัปดาห์ต่อครั้ง จนกว่าปลวกจะตายหมดทั้งรัง
ขอบคุณข้อมูลจาก http://share.psu.ac.th/blog/pestmanagement/3707
Subscribe to:
Posts (Atom)